tag:blogger.com,1999:blog-24560502566768884542024-02-20T03:40:35.066-08:00ต้นไม้ไทยเรียนรู้ต้นไม้ไทยแต่ละชนิดแล้ว น้ำมาใช้ในการตัดสินใจว่าจะปลูกไม้อะไรไว้ที่บ้านกันดีAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.comBlogger26125tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-58898001188766426822012-07-11T07:31:00.004-07:002012-07-11T07:31:52.872-07:00ต้นขนุน<b>ชื่ออื่นต้นขนุน</b> : มะหนุน หมักหมี๊ หมากลาง <br /><br /><b>ลักษณะต้นขนุน</b> : ไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งต้นขนุนเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10 - 15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวต้นขนุนในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า "ส่า" มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม การออกดอก จะออกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่<br /><br /><b>นิเวศวิทยา</b> : มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียเป็นพืชเศรษฐกิจเมืองร้อนที่ให้ผลมีขนาดใหญ่ที่สุดสามารถ บริโภคทั้งผลดิบและผลสุก นอกจากนี้ยังนำไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ มีปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย<br /><br /><b>ขยายพันธุ์ต้นขนุน</b> : โดยการเพาะเมล็ด ติดตา และทาบกิ่งต้นขนุน<br /><br /><b>ประโยชน์ต้นขนุน</b> : ผลอ่อนใช้ปรุงอาหารผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหาร เนื้อไม้ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด รากและแก่นให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม รากนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้ ใบเผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลามะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผลAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-1481372157705925402012-07-11T07:31:00.002-07:002012-07-11T07:31:20.965-07:00ต้นโกสน<br /><b>ต้นโกสน</b>เป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดย่อมลำต้นมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร ผิวลำต้นต้นโกสนเรียบสีน้ำตาลปนเทา ลำต้นตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มตรงกลม ใบแตกออกจากต้นและปลายกิ่ง ลักษณะใบมีรูปร่าง สีสันขนาด แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกออกเป็นพวงห้อยลงมาด้านล่างซึ่งออกมาจากปลายกิ่งพวงหนึ่งยาวประมาณ1015เซนติเมตรดอกมีสีชาวดอกเล็กมากมีกลียบดอก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่จะเห็นเกสรตัวผู้เป็ฯเส้นฝอย การบานของดอกเป็นรูปทรงกลม<br /><br /><b>ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกต้นโกสน</b><br />เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโกสนไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร<br />
<br /><b>การปลูก</b><br />1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-16 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ขุยมะพร้าว : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก ควรเปลี่ยนกระถาง 1-2 ปี / ครั้ง เพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและเมื่อต้องการเปลี่ยน ดินปลูกใหม่ทดแทนดินปลูปเดิมที่เสื่อสภาพไป<br />2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน โบราณนิยมปลูกบริเวณหน้าบ้านหรือทำเป็นแนวรั้วบ้านเพื่อที่จะสร้างจุดเด่นให้กับบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก<br /><br /><b>ความเชื่อต้นโกสน</b><br />คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นโกสนไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีบุญบารมี เพราะโกสนโบราณคงกล่าวถึง กุศล คือ การส้างบุญ คุณงามความดีนอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าสามารถช่วยคุ้มครองให้มีความอยู่เย็นเป็นสุขเพราะคนโบราณเชื่อว่าต้นโกสนเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่ปลูกคู่บ้านคู่มืองโดยสมัยรัชกาลที่5 ทรงนำเข้ามาปลูกไว้ในพระราชวังบ้านขุนนางวัดหลวงเพื่อให้เกิดความร่วมเย็นเป็นสุขตลอดมาAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-56440701213067849792012-07-11T07:30:00.002-07:002012-07-11T07:30:24.469-07:00ต้นแก้วมังกร<b>ลักษณะทั่วไปต้นแก้วมังกร</b><br />"แก้วมังกร" อยู่ในวงศ์ Cactaceae หรือ ตะบองเพชร สกุล Hylocereanae มีชื่อพื้นบ้านว่า Dragon fruit และ Pitahaya และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocercus undatus (Haw) Brit. & Rose. แก้วมังกร มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ในอเมริกากลาง เข้ามาในเอเชียที่เวียดนามก่อน โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้วและเพิ่งเข้ามาในไทยเมื่อประมาณ 5 ปี แต่เป็นพันธุ์เนื้อในขาวส่วนพันธุ์เนื้อในแดงที่ชื่อแดงสยามเป็นพันธุ์มาจากไต้หวัน เมื่อประมาณ 1-2 ปีนี้เองมีลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร มีรากทั้งในดินและรากอากาศ ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ชอบแสงแดดพอเหมาะ โล่งแจ้ง แต่ไม่แรงกล้าเกินไป ดอกขนาดใหญ่ยาวประมาณเกือบหนึ่งฟุต<br /><br /><b>การเพาะปลูกต้นแก้วมังกร</b><br />แก้วมังกรเป็นไม้เลื้อยลำต้นอ่อนจำเป็นต้องมีหลักให้ลำต้นเกาะยึดซึ่งหลักจะเป็นไม้เนื้อแข็งหรือเสาซีเมนต์ก็ได้ ถ้าใช้ท่อซีเมนต์เป็นเสาซึ่งรูปทรงกลมภายในกลวงแต่เทปูนไว้ก้นท่อเพื่อไว้ใส่น้ำหล่อเลี้ยงให้เสามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ฝังท่อซีเมนต์ลงในดินประมาณ 40 – 50 เซนติเมตร ต้องสูงจากพื้นดินประมาณ 1.5 – 2 เมตร ด้านบนของเสาทำเป็นร้านให้กิ่งเกาะแผ่ขยายออกไประยะปลูก 3 x 3 เมตร เตรียมหลุมขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร รอบ ๆ หลัก หลักละ 4 หลุม สำหรับปลูกหลุมละ 1 ต้น รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักเก่า 1 ปุ้งกี๋ เมื่อนำกิ่งพันธุ์ลงหลุมแล้วมัดกิ่งพันธุ์ให้แนบหลักและกันแดดให้ 1 – 2 สัปดาห์<br /><br /><b>ประโยชน์ต้นแก้วมังกร</b><br />แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่สามารถรับประทานเพื่อบรรเทาอาการโรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน ตลอดจนช่วยลดความอ้วนเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีแคลลอรี่ต่ำ แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงจึงช่วยให้การขับถ่ายสะดวก สบาย อีกทั้งยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่ช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง ดังนั้นเป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี แก้วมังกรยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกอย่างคือ ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างจากยาฆ่าแมลงที่มากับผักที่เรากินกันทุกวัน สารตกค้างเช่นตะกั่ว ที่มาจากควันท่อไอเสียรถยนต์ และสารอื่นๆ และยังช่วยลดการเกิดมะเร็งอีกด้วยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-45328337931310699172012-07-11T07:29:00.004-07:002012-07-11T07:29:51.882-07:00ต้นแก้ว<b>ต้นแก้ว (Orange Jessamine)</b> เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ใบออกเป็นช่อเป็นแผงออกใบเรียงสลับกันช่อหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 4-8 ใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม<br /><br />ต้นแก้วเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางลำต้นมีความสูงประมาณ5-10 เมตรเปลือกลำต้นสีขาวปนเทาลำต้นแตกเป็นสะเก็ดเป็นร่องตามยาวการแตกกิ่งก้านของทรงพุ่มไม่ค่อยเป็นระเบียบใบออกเป็นช่อเป็นแผงออกใบเรียงสลับกันช่อหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 4-8 ใบใบเป็นมันสีเขียวเข้มขยี้ดูจะมีกลิ่นฉุนแรงขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยขนาดของใบกว้างประมาณ 2 - 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ3-6 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อใหญ่ช่อสั้นออกตามปลายกิ่งหรือยอดช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 5 - 10 ดอก แต่ละดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร ผลรูปไข่ รีปลายทู่ มีสีส้ม ภายในมีเมล็ด 1 - 2 เมล็ด<br /><br /><b>ความเชื่อ</b><br />คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีความดี มีคุณค่าสูง เพราะคำว่า แก้ว นั้นหมายถึง สิ่งที่ดีมีค่าสูงเป็นที่นับถือบูชาของบุคคลทั่วไปซึ่งโบราณได้เปรีบเทียบของที่มีค่าสูงนี้เสมือนดั่งดวงแก้ว นอกจากนี้คนโบราณยังมีความเชื่ออีกว่า บ้านใดปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้านจะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน เพราะแก้วคือความใสสะอาดความสดใสนอกจากนี้ดอกแก้วยังมีสีขาวสะอาดสดใสมีกลิ่นหอมนวลไปไกลและยังนำดอกแก้วไปใช้ในพิธีบูชาพระในพิธีทางศาสนาได้เป็นสิริมงคลยิ่งอีกด้วย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นแก้วไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ<br /><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-59824710247541111032012-07-11T07:28:00.002-07:002012-07-11T07:28:59.435-07:00ต้นเกล็ดหอยต้นเกล็ดหอย (SCROPHULARIACEAE)<br /><b><br />เกล็ดหอย (แววมยุรา) </b><br />ชื่อวิทยาศาสตร์ Torenia fournieri Lind <br />ชื่อภาษาอังกฤษ SCROPHULARIACEAE <br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปต้นเกล็ดหอย</b><br />ไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นเาเลื้อยมีขนละเอียดอ่อนสีขาว ปกคลุม ใบมนรีปลายใบเรียวแหลมขอบใบเป็น จักฟันเลื่อย ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกันสองข้าง ของลำต้น ดอกมีสีม่วงมีกลีบดอก 5 กลีบ รูปกรวยปากแตร ออกดอกในช่วงฤดูฝน ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดและการตัดชำAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-85767987618307305022012-07-10T06:42:00.000-07:002012-07-10T06:42:03.679-07:00ต้นเกด<br /><b>ชื่ออื่น</b><br />ครินี ไรนี (ฮินดู), เกด (กลาง)<br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปต้นเกด</b><br />เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นและกิ่งก้านมักคดงอ โดยเฉพาะกิ่งมักหักงอเป็นข้อศอก ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับ แผ่นใบรูปไข่กลับ ปลายหยักเว้าเล็กน้อย โคนใบสอบ เนื้อใบหนาเกลี้ยง หลังใบสีเขียวแก่เป็นมัน ท้องใบสีขาวหรือนวล ออกดอกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ดอกขนาดเล็ก สีเหลือง ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ผล รูปกลมรี เมื่อสุกสีเหลืองแสด<br /><br /><b>ขยายพันธุ์ต้นเกด</b><br />โดยการเพาะเมล็ด<br /><br /><b>สภาพที่เหมาะสมต้นเกด</b><br />สภาพดินทราย หรือดินปนหิน ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง กลางแจ้ง<br /><br /><b>ถิ่นกำเนิด</b><br />เอเชีย ประเทศไทยตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป และตามเกาะต่างๆAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-38488143488067868132012-07-10T06:40:00.006-07:002012-07-10T06:40:52.795-07:00ต้นกุหลาบ<b>กุหลาบ </b><br />ชื่อวิทยาศาสตร์ Rosa hybrida <br />ชื่อภาษาอังกฤษ Rose <br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปต้นกุหลาบ</b><br />ไม้พุ่มขนาดเล็ก เป็นราชินีแห่งดอกไม้ มีทั้งที่ลำต้นตรงและเลื้อยตาม ลำต้นมีหนามแหลมคมใบเป็นใบประกอบ ออกจากลำต้นแบบสลับมีหูใบ 1 คู่ ใบย่อยมี 3-5 ใบ สีเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบเป็นหยัก ออกดอกตาม ปลายยอด บางชนิดมีกลีบดอกชั้นเดียวบางชนิดมีกลีบดอกซ้อนกันหลาย ชั้น มีสีสันต่าง ๆ มากมาย มีกลิ่นหอมออกดอกตลอดปี กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่ได้รับความนิยมสูงสุด เจริญเติบโตได้ดีในที่ กลางแจ้งต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง ชอบอากาศเย็น ในเวลากลางคืน และเป็นพืชชอบน้ำ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอน ปักชำ และการติดตาAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-9957959474610095412012-07-10T06:40:00.003-07:002012-07-10T06:40:23.390-07:00ต้นกำลังเสือโคร่ง<b>ต้นกำลังเสือโคร่ง</b>เป็นไม้ยืนต้น สูง ๒๐ -๓๕ เมตร วัดรอบลำต้นประมาณ ๑-๒ เมตร เปลือกไม้(ที่ยังไม่ลอก) มีสีน้ำตาล เทา หรือ เกือบดำ มีรูระบายอากาศเป็นจัดขาวเล็กๆ กลม บ้างรีบางปะปนอยู่ เปลือกมีกลิ่นคล้ายการบูร เวลาแก่จะอกออกเป็นชั้นๆ คล้ายกระดาษ ที่ยอดอ่อน ก้านใบและช่อดอกมีขนสีเหลือง หรือ สีน้ำตาล ปกคลุม หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือ แคบ ยาวประมาณ ๓-๘ มม.ใบ เป็นรูปไข่ถึงรูปไข่แกมหอก หรือรูปหอก เนื้อใบบาง คล้ายกระดาษ หรือ หนา ด้านใต้ของใบมีตุ่ม โคนใบป้านเกือบเป็นเส้นตรง ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อยสองชั้นหรือสามชั้น ซี่หยักแหลม ปลายใบเรียวแหลม เส้นแขนงใบ ๗-๑๐ คู่ ดอก ออกเป็นช่อยาวคล้ายหางกระรอก ออกตามง่ามใบแห่งละ ๒-๕ ช่อ ดอกย่อยไม่มีก้าน ช่อดอกเพศผู้ยาว ๕-๘ ซม. กลีบรองดอกเป็นรูปโล่หรือกลม มีแกนอยู่ตรงกลาง ปลายค่อนข้างแหลม มีขนที่ขอบเกสรเพศผู้ ๔-๗ อันติดอยู่ที่แกนกลาง ช่อดอกเพศเมียยาว ๓-๙ ซม. กลีบรองดอกไม่มีก้าน มี ๓ หยัก ด้านนอกมีขน รังไข่แบน กรอบนอกเป็นรูปไข่ หรือเกือบกลม มีขน ท่อรังไข่ยาวกว่ารังไข่เล็กน้อย ผลแก่ร่วงง่าย แบน มีปีก ๒ ข้างปีกบางและโปร่งแสงแหล่งที่พบ มักขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การออกดอกระหว่างเดือน พฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้นไม้<br /><br /><b>การปลูกต้นกำลังเสือโคร่ง</b><br />การเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูก การเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์ ยังมีการศึกษากันน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วการปลูกกจะปลูกโดยทิ้งให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติ ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลกันอย่างจริงจัง<br /><br /><b>สรรพคุณต้นกำลังเสือโคร่ง</b> :<br />เปลือกต้น<br />- มีน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง กลิ่นฉุนแรงคล้ายน้ำมันระกำ แต่ถ้าทิ้งจนเปลือกแห้ง กลิ่นทำให้เส้นเอ็นแข็งแรง<br />- ช่วยชำระล้างไตให้สะอาด บำรุงกองธาตุให้เป็นปกติ<br />- ขับลมในลำไส้<br />- ใช้บำบัดอาการผู้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับมดลูกของผู้หญิงไม่สมบูรณ์ มดลูกชอกช้ำ อักเสบเนื่องจากการกระทบกระเทือน แท้งบุตร มดลูกไม่แข็งแรงให้หายเป็นปกติAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-79797039667924307322012-07-10T06:39:00.002-07:002012-07-10T06:39:46.654-07:00ต้นกาฬพฤกษ์<b>ชื่ออื่น</b><br />กัลปพฤกษ์ (กรุงเทพฯ)<br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปต้นกาฬพฤกษ์</b><br />เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูงประมาณ 20 เมตร โคนมีพูพอน เปลือกสีดำแตกเป็นร่องลึก กิ่งอ่อนหรือช่อดอกมีขนสีน้ำตาล ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อย 10–20 คู่ ใบอ่อนสีแดง แผ่นใบย่อยรูปขอบขนาน หลังใบเป็นมัน ท้องใบมีขน ดอก เมื่อเริ่มบานจะมีสีแดง แล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีสันตามลำดับ ออกดอกระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก<br /><br /><b>ขยายพันธุ์ต้นกาฬพฤกษ์</b><br />โดยการเพาะเมล็ด<br /><br /><b>สภาพที่เหมาะสม</b><br />สภาพดินทุกชนิด ทนแล้งได้ดี ชอบความชื้นน้อย<br /><br /><b>ถิ่นกำเนิดต้นกาฬพฤกษ์</b><br />ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-72872367262948952342012-07-10T06:39:00.000-07:002012-07-10T06:39:11.982-07:00ต้นก้ามปูหลุด<b>ต้นก้ามปูหลุด</b>นี้เป็นไม้ประดับประเภทคลุมดินใบจะมีสีงดงามและแปลกตาคือใบก้ามปูจะมีสีสามสี<br />พาดสลับไปตามความยาวของใบ ได้แก่ สีเขียว สีเท่า และสีม่วงเหตุที่ได้ชื่อว่าก้ามปูนั้นก็เพราะว่า<br />ลักษณะของใบที่แตกออกมาจากลำต้นนั้นคล้ายกับก้ามปู ก้ามปูหลุดเป็นพืชอวบ น้ำขยายพันธุ์ได้ง่าย<br />เมื่อถูกแสงแดด สีสันจะเข้มสวยงามมาก นิยมปลูกประดับไว้ตามข้างตัวอาคารบ้านเรือนหรือจัดสวน<br />หย่อม รวมกับไม้ประดับชนิดอื่นๆ<br /><br /><b>การดูแลรักษาต้นก้ามปูหลุด</b><br />แสง ชอบแสงแดดจัด <br />น้ำ ควรให้น้ำในปริมาณที่น้อย แต่ให้บ่อยครั้ง <br />ดิน เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย<br />ปุ๋ย ให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2 ครั้ง หรือ จะให้หลังจากการตัดแต่งทุกครั้งก็ได้<br /><br /><b>การขยายพันธุ์ต้นก้ามปูหลุด</b> ปักชำ <br /><br /><b>โรคและแมลงต้นก้ามปูหลุด</b> ไม่ค่อยจะพบปัญหาเรื่องโรค และแมลงAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-74533460663452584642012-07-10T06:38:00.003-07:002012-07-10T06:38:35.424-07:00ต้นกาแฟ<b><br />ลักษณะทั่วไปต้นกาแฟ</b><br />ต้นกาแฟเป็นพืชที่เราสามารถนำเข้ามาปลูกภายในอาคารบ้านเรือนได้เพราะเมื่อเรานำเข้ามาปลูกในห้องแล้วมันจะไม่แตกดอก ออกผล แต่จะคงลักษณะคือใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันอยู่ตลอดเวลา กาแฟเป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้รวดเร็วมาก เมื่อนำมาปลูกในกระถางมันจะเจริญเติบโตได้ประมาณ 1-2 เมตร กาแฟชอบห้องที่อบอุ่นและทนอยู่ในที่ร่มเย็นได้ไม่กี่วัน ถ้าปลูปในห้องหับหรือในอาคารควรปลูกใกล้หน้าต่างหรือที่ๆ แสงแดดส่งถึงหรือจะใช้แสงจากหลอดไฟฟ้าแทนก็ได้<br /><br /><b>การดูแลรักษาต้นกาแฟ</b><br /> แสง ต้นกาแฟชอบแสงสว่าง ควรให้ได้รับแสง ประมาณ 4-6 ช.ม. / วัน<br /> อุณหภูมิ ชอบอุณหภูมิ ประมาณ 18- 22 องศาเซลเซียส <br /> ความชื้น ต้นกาแฟต้องการความชื้นสูงมาก ควรฉีดพ่นละอองน้ำให้บ่อย ควรให้น้ำอาทิตย์ละครั้ง<br /> น้ำ ควรให้น้ำอาทิตย์ละครั้ง<br /> ดินปลูก ดินร่วน 2 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน <br /> ปุ๋ย ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำรดอย่างเจือจางทุกๆ 15 วัน<br /> กระถาง ควรเปลี่ยนกระถางทุกปี <br />
<br /><b> การขยายพันธุ์ </b> เพาะเมล็ด <br />
<br /><b> โรคและแมลง </b> ไม่ค่อยพบโรครบกวน ส่วนมากจะเป็นเพลี้ยหอย <br />
<br /> <b> การป้องกันกำจัด</b> ใช้ยาไซกอน (cygon) อัตรา 20 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร รดให้ทั่วโคน<br /><br /><b>ถิ่นกำเนิดต้นกาแฟ</b><br />เอธิโอเปียAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-24441078851776735962012-07-10T06:37:00.001-07:002012-07-10T06:37:25.320-07:00ต้นกาซะลองคำ<b>ชื่ออื่น </b>กากี (สุราษฎร์ธานี), กาซะลองคำ (เชียงราย), แคะเป๊าะ สำเภาหลามต้น (ลำปาง), จางจืด (เชียงใหม่), สะเภา อ้อยช้าง (ภาคเหนือ)<br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปต้นกาซะลองคำ</b><br />เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 6–20 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปรีแกมรูปหอก ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบสอบแหลม ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น สีเหลืองอมส้ม หรือสีส้ม กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นแฉกสั้นๆ 5 แฉก ผลเป็นฝัก เมื่อแก่แตกเป็นสองซีกเมล็ดมีปีก<br /><br /><b>ขยายพันธุ์ต้นกาซะลองคำ</b><br />โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และแยกหน่อ<br /><br /><b>สภาพที่เหมาะสมต้นกาซะลองคำ</b><br />ดินร่วนปนทราย<br /><br /><b>ถิ่นกำเนิดต้นกาซะลองคำ</b><br />ขึ้นตามธรรมชาติบนเทือกเขาหินปูนที่ค่อนข้างชื้นทางภาคเหนือAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-26885146124602321182012-07-10T06:36:00.003-07:002012-07-10T06:36:48.882-07:00ต้นกันเกรา<br /><b>ต้นกันเกรา</b> เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ขึ้นโดยทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็น ช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย ต้นกันเกรามีชื่อเรียกอื่นว่า มันปลา ตำเสา มะซูไม้ต้น นอกจากนี้ต้นกันเกราเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ด้วย<br />กันเกรามีชื่อเรียกต่างกันไปคือ ภาคกลาง เรียก กันเกรา ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก มันปลา ส่วนภาคใต้ เรียก ตำแสง หรือตำเสา ซึ่งถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง อันมีชื่อเป็นมงคลและมีคุณสมบัติที่ดีของต้นกันเกราในการใช้ประโยชน์ คือชื่อกันเกรา หมายถึง กันสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ให้มาทำอันตรายใดๆ ชื่อตำเสา คือ จะเป็นมงคลแก่เสาบ้านไม่ให้ปลวก มอด แมลงต่างๆเจาะกิน ชื่อมันปลา น่าจะเป็น ลักษณะของดอกที่เหมือนกับไขมันของปลาเมื่อลอยน้ำไขมันของปลาในถ้วยน้ำแกง โดยเฉพาะช่วงข้าวใหม่ปลามันที่ปลาจะมีความมันและเอร็ดอร่อยเป็นที่สุด<br /> <br />
<b>ต้นกันเกรามีลักษณะ</b>ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15 - 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึกไม่เป็นระเบียบ ใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม แผ่นใบรูปมนขนาดกว้าง 2.5 - 3.5 เซนติเมตร ยาว 8 - 11 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือยาวเรียว ฐานใบแหลม โคนมน ใบเขียวมันวาว มีทรงพุ่งเป็นทรงฉัตรแหลมสวยงาม ดอก เริ่มบานสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่นหอม ผลกลมเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 มม. สีส้มแล้วเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเลือดนกเมื่อแก่เต็มที่ มีเมล็ดขนาดเล็กเป็น จำนวนมากนิเวศวิทยา ขึ้นทั่วไปในป่าเบญจพรรณชื้น และตามที่ต่ำ ที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยออกดอก เมษายน - มิถุนายน เป็นผล มิถุนายน - กรกฎาคมขยายพันธุ์ โดยเมล็ด<br />ประโยชน์ได้แก่ เนื้อไม้สีเหลืองอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทนทาน ใช้ในการก่อสร้าง นิยมใช้ทำเสาเรือน แก่นมีรสฝาดใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปลูกเป็นไม้ประดับ ลักษณะลำต้นที่สวยงามทั้งลวดลายของเปลือกและเนื้อไม้ เหมาะแก่การนำไปใช้ประโยชน์ทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ มีน้ำมันหอมระเหยที่เปลือก<br /> <br />
<b>ต้นกันเกรามีความสวยงามและกลิ่นหอมไม่เหมือนใคร </b>ทั้งยังเป็นไม้มงคล 1 ใน 9 ชนิด เช่นเดียวกับราชพฤกษ์ ขนุน ชัยพฤกษ์ ทองหลาง ไผ่สีสุก ทรงบาดาล สัก และพะยูง ที่คนนิยมนำมาใช้ในพิธีกรรมเมื่อเวลาก่อสร้างบ้านเรือนให้เป็นสิริมงคล นอกจากนั่นคนอีสานยังนำมาบูชาพระโดยเฉพาะเมื่อเวลางานบุญบวชนาคช่วงเดือนพฤษภาคมหรือเดือน 6 ของทุกปี ก่อนที่จะถึงวันบวชนาคผู้ที่จะบวชนาคต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี เรียกว่า การเข้านาค ผู้ที่จะบวชนาคซึ่งต้องมาเข้านาคนั้นจะต้องแต่งกายชุดสุภาพ มีผ้าแพรหรือผ้าขาวม้าพับอย่างงามพาดบ่า รวมทั้งละเว้นอบายมุขต่างๆ พิธีกรรมหนึ่งของการเข้านาคจะมีการแห่ดอกไม้ก็คือดอกมันปลาหรือดอกกันเกรา จุดเริ่มต้นของขบวนอยู่ที่วัดจากนั้นก็เคลื่อนขบวนแห่ไปตามถนน บ้านเรือนท้องไร่ ท้องนา เพื่อไปเก็บดอกมันปลามาบูชาพระ พร้อมที่จะเข้าพิธีอุปสมบท ในระหว่างการแห่ก็จะมีการตีกลองร้องเพลงไปโดยตลอด เวลาเริ่มแห่ก็ช่วงบ่ายๆพอขบวนจะกลับถึงวัดก็ใกล้ค่ำ พิธีกรรมต่อไปคือนำช่อของดอกมันปลาที่เก็บมาในขบวนแห่จุ่มน้ำแล้วสะบัดให้น้ำจากดอกมันปลาไปสรงพระพุทธรูปบูชาขอพรเป็นอันเสร็จพิธี ผู้ที่ร่วมพิธีกรรมตั้งแต่การแห่จนแล้วเสร็จพิธีจะมีพระ 1 รูป สามเณร คนที่จะอุปสมบท หญิงสาวที่อาจจะเป็นแฟนหรือเพื่อนๆของผู้ที่จะอุปสมบท รวมทั้งเด็กๆด้วย พิธีกรรมนี้จะทำจนกว่าจะถึงวันอุปสมบท เมื่อถึงวันอุปสมบทก็มีพิธีกรรมตามประเพณีซึ่งไม่ขอกล่าวในที่นี้<br /><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-66509073488118839952012-07-10T06:35:00.000-07:002012-07-10T06:35:16.817-07:00ต้นกะพ้อ<br /><b>กะพ้อ</b>เป็นปาล์มพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปในบ้านเรา กะพ้อมีต้นเป็นกอสูงประมาณ 15 - 20 ฟุต ใบรูปใบพัด ก้านใบยาวเล็กมีใบย่อยแตกออกจากกันและแตกออกจากจุดเดียวกัน ที่ก้านใบแต่ละใบจะมีใบย่อยประมาณ 12 - 18 ใบ ตามใบย่อยมีรอยจีบ ปลายใบตัด ใบย่อยยาวประมาณ 1 ฟุต และกว้าง 4-5 นิ้ว ใบสีเขียวเข้ม เมื่อเจริญ เติบโตไปสักระยะหนึ่งจะเกดหน่ออกมาตามบริเวณโคนต้นมากมายกะพ้อเจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งแจ้งสามารถปลูกในสนามหญ้าเพื่อให้มันแตกกอเป็นพุ่มหรือจะทำเป็นสวนหย่อมก็ได้<br /><br /><b>การดูแลรักษา</b><br />แสง ชอบแสงแดดจัด <br />น้ำ ต้องการปริมาณน้ำพอสมควร<br />ดิน ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะเจริฐเติบโตได้ดีในดินร่วน<br />ปุ๋ย ให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักบริเวณโคนต้น ปีละ 2 ครั้ง <br /><b>การขยายพันธุ์</b> โดยการเพาะเมล็ด และแยกหน่อ <br /><b>โรคและแมลง</b> ทนทานต่อโรคและแมลงได้ดี<br /><br /><b>ประโยชน์ต้นกะพ้อ</b><br />ใบอ่อนของต้นกะพ้อ นอกจากจะนำไปห่อขนมต้ม ยังนำไปทำงานประดิษฐ์ได้ เช่นงานจักสานพัดใบกะพ้อ รวมไปถึงใบกะพ้อที่แก่จัดๆ นำไปทำหลังคาแทนการมุงด้วยใบจาก ก้านจากใบแก่ๆ นำไปทำกระด้ง แข็งแรงได้เทียบเท่าไม้ไผ่เลยทีเดียวAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-13662839978411532652012-07-10T06:34:00.001-07:002012-07-10T06:34:28.095-07:00ต้นกวนอิมทอง<b>ต้นกวนอิมทอง</b>เป็นพรรณไม้ยืนต้น คล้ายกับสกุลหวายลำต้นโตประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลำต้นกวนอิมทองมีความสูงประมาณ 1-3 เมตรลำต้นกลมตรงเล็กลำต้นเป็นข้อๆสีเขียวไม่มีกิ่งก้านสาขามีการเจริญการยืดตัวของข้อใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากส่วนยอดของลำต้นมีกาบใบหุ้มห่อลำต้นสลับกันเป็นชั้นๆตามข้อของลำต้นใบแคบเรียวยาวปลายใบแหลมโคนใบสอบลงมาถึง กาบใบ พื้นใบมีสีเขียวหรืมีสีขาวพาดตามยาวของใบ ขนาดความกว้างของใบประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตรกวนอิมทองต่างกับกวนอิมเงินที่ลำต้นมีสีขาวหรือเหลืองส่วนของใบนั้นกวนอิมทองพื้นใบสีเขียวอ่อนสลับกับสี เหลืองอ่อน หรือเหลืองทองพาดไปตามยาวของใบ<br /><br /><b>ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกต้นกวนอิมทอง</b><br />เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นกวนอิมทองไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร<br /><br /><b>การปลูกต้นกวนอิมทอง</b><br />1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ใช้กระถางทรงสูงขนาด 8-12 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : แกลบผุ : ดินร่วนอัตรา 1:1:1ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง1-2 ปี/ครั้งเพราะการขยายตัวของรากแน่นเกินไปและการแตกกอของทรงพุ่มโตขึ้นนอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเปลี่ยนดินปลูกใหม่ เพื่อทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป<br /><br />2.การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้บริเวณบ้านและสวนโบราณนิยมปลูกไว้บริเวณหน้าบ้าน เพราะจะได้เป็นเสน่ห์แก่บ้าน ขนาดหลุมปลูก 20 x 20 x 20 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1:2 ผสมดินปลูก:Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-73604799975267080052012-07-10T06:33:00.006-07:002012-07-10T06:33:53.462-07:00ต้นกล้วยพัด<b><br />ต้นกล้วยพัดเป็นพืชอวบน้ำที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกล้วยธรรมดาโดยทั่ว ๆ ไป คือใบจะมีลักษณะเหมือนกับใบกล้วยแต่จะมีความแข็งกว่ามาก แกนของใบต้นกล้วยพัดจะแผ่ออกสองข้าง ทำให้มีลักษณะคล้ายพัดขนาดใหญ่ การเรียงตัวของก้านใบนั้น จะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แลดูสวยงามมาก ลำต้นจะเกิดเป็นต้นเดี่ยว ๆ สูงประมาณ 6-9 เมตรแม้จะปลูกเอาไว้ต้นเดียวก็สวยงามไม่น้อย<br /><br />การดูแลรักษา<br />แสง กล้วยพัดชองแสงแดดจัด ควรปลูกไว้กลางแจ้ง<br />น้ำ ให้น้ำพอประมาณอย่าให้ขังแฉะ ต้องการความชื้นสูง<br />ดิน ดินที่ปลูกควรเป็นดินที่อมความชื้นได้บ้าง<br />ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก บริเวณโคนต้น ปีละ 2 ครั้ง<br />การขยายพันธ์ โดยการแยกหน่อ<br />โรคและแมลง ทนทางต่อโรคและแมลงมาก<br /><br />ประโยชน์ต้นกล้วยพัด <br />นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป กาบดอกแข็ง ใช้ทำเครื่องประดับและหัตถกรรมได้หลายชนิด</b>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-79094236020759446652012-07-10T06:33:00.003-07:002012-07-10T06:33:21.840-07:00ต้นกระพี้จั่น<b>ชื่ออื่น<br />จั่น ปี้จั่น (ทั่วไป), ปี้จั่น (ภาคเหนือ), กระพี้จั่น (ภาคกลาง)<br /><br />ลักษณะทั่วไป<br />ต้นกระพี้จั่นเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 8–20 เมตร เปลือกสีเทา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเวียนสลับ มีใบย่อย แผ่นใบรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบทู่ โคนใบมนหรือสอบเบี้ยวเล็กน้อย ขอบเรียบ หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางกว่า ใบแก่เกลี้ยง มีขนประปรายตามเส้นกลางใบด้านล่าง ดอกรูปดอกถั่ว สีขาวปนม่วง ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ ออกดอกระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลเป็นฝักแบน โคนแคบกว่าปลาย เปลือกเกลี้ยงหนาคล้ายแผ่นหนัง ขอบเป็นสัน เมล็ดสีน้ำตาลดำ<br /><br />ขยายพันธุ์ต้นกระพี้จั่น<br />โดยการเพาะเมล็ด ปักชำราก<br /><br />สภาพที่เหมาะสม<br />สภาพดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ทนแล้งได้ดี<br /><br />ถิ่นกำเนิดต้นกระพี้จั่น<br />เอเชียเขตร้อน ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย</b>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-42317172722973176332012-07-10T06:32:00.002-07:002012-07-10T06:44:07.908-07:00ต้นกระบาก<b>ชื่ออื่น<br />กระบาก ตะบาก (ลำปาง), กระบากขาว (ชลบุรี, ชุมพร, ระนอง), กระบากโคก (ตรัง), กระบากช่อ กระบากด้าง กระบากดำ (ชุมพร), กระบากแดง (ชุมพร, ระนอง), ชอวาตาผ่อ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), บาก (ชุมพร), ประดิก (เขมร-สุรินทร์), พนอง (จันทบุรี, ตราด), หมีดังว่า (กะเหรี่ยง-ลำปาง)<br /><br />ลักษณะทั่วไป<br />ต้นกระบากเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 30–40 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกในสีเหลืองอ่อนเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปขอบขนาน หลังใบมีขนสีเหลือง ปลายใบทู่ถึงแหลม โคนใบมน ท้องใบมีขน ดอกสีขาวปนเหลืองอ่อน ขนาดเล็ก ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ผลเป็นผลแห้งทรงกลม ผิวเรียบ มีปีกยาว 2 ปีก<br /><br />ขยายพันธุ์ต้นกระบาก<br />เพาะเมล็ด<br /><br />สภาพที่เหมาะสม<br />สภาพดินทุกชนิด กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง<br /><br />ถิ่นกำเนิดต้นกระบาก<br />ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย</b>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-68999336602360477862012-06-29T08:02:00.003-07:002012-06-29T08:02:35.542-07:00ต้นกระบองเพชร<b>กระบองเพชร</b>เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-12 ฟุต ลำต้นมีสีเขียวหรือเขียวคล้ำ มีขนหรือหนามรอบต้นหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ชนิดพันธุ์ ลักษณะต้นเป็นเหลี่ยมรูปทรงกระบอกรูปรงกลม หรือแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ใบคือส่วนของลำต้นที่ทำหน้าที่แทนใบหรือบางชนิดก็มีใบแบนกลมหน้าใหญ่ดอกสีแดงเหลืองขาวลักษณะดอกขนาดดอกขึ้นกับชนิดพันธุ์<br /><br /><br /><b>ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกต้นกระบองเพชร</b><br />เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นกระบองเพชรไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่ากรปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์<br /><br /><br /><b>การปลูกต้นกระบองเพชร</b><br />1. การปลูกต้นกระบองเพชรในกระถางเพื่อประดับภายในอาคารและภายนอกอาคาร ใช้กระถางทรงและขนาดต่างกันแล้วแต่ชนิดพันธุ์คือตั้งแต่ขนาด4-10นิ้วใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ทรายหรือดินร่วนอัตรา1:1ผสมดินปลูกการเปลี่ยนกระถางแล้วแต่ความเหมาะสมของชนิดพันธุ์และผู้ปลูก แต่ถ้าจะให้เจริญสวยงามต้อง<br /><br /><b>คบคุมเรื่องปุ๋ย และน้ำให้ถูกวิธี</b><br />2. การปลูกต้นกระบองเพชรในแปลงปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน แต่จะต้องเป็นชนิดพันธุ์ ที่ค่อนข้างใหญ่ แข็งแรง ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วนอัตรา 1:3 ผสมดินปลูกAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-10374507334291866572012-06-29T08:00:00.001-07:002012-06-29T08:00:43.962-07:00ต้นกระบก<b>ชื่ออื่นของต้นกระบก</b><br />กระบก กะบก จะบก ตระบก (เหนือ), จำเมาะ (เขมร), ชะอัง (ซอง-ตราด), บก หมากบก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะมื่น มื่น (เหนือ), มะลื่น หมักลื่น (สุโขทัย, นครราชสีมา), หลักกาย (ส่วย-สุรินทร์)<br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปต้นกระบก</b><br />ต้นกระบกเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10–30 เมตร ผลัดใบ เปลือกสีเทาอ่อนปนน้ำตาลค่อนข้างเรียบ เรือนยอดเป็นพุ่มแน่นทึบ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปมนแกมขอบขนานถึงรูปหอก ผิวใบเกลี้ยง โคนใบมน ปลายใบทู่ถึงแหลม ดอกขนาดเล็ก สีขาวปนเขียวอ่อน ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ผลทรงกลมรี เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียว เมล็ดแข็ง เนื้อในมีรสมัน<br /><br /><b>ขยายพันธุ์ของต้นกระบก</b><br />เพาะเมล็ด<br /><br /><b>สภาพที่เหมาะสมของต้นกระบก</b><br />สภาพดินทุกชนิด กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง<br /><br /><b>ถิ่นกำเนิดต้นกระบก</b><br />ตามป่าเบญจพรรณแล้งและป่าดิบAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-43330041239722727902012-06-29T07:55:00.003-07:002012-06-29T07:55:34.194-07:00ต้นกระทุ่ม<b>ชื่อพื้นเมืองต้นกระทุ่ม: </b><br />กระทุ่มคลอง ก้านเหลือง กะเลอ<br /><b><br />ลักษณะทั่วไปต้นกระทุ่ม:</b> <br />ต้นกระทุ่มเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ ปีล่ะ ครั่ง เปลือกสีน้ำตาลปนดำ แต่เป็นร่องตามยาว<br /><br /><b>ใบต้นกระทุ่ม:</b><br />ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ใบรูปมน หรือ รูปไข่<br /><br /><b>ดอกต้นกระทุ่ม: </b><br />สีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกรวมเป็นช่อกระจุกแน่น ที่ตามซอกใบ หรือ ปลายกิ่ง<br /><br /><b>ผลต้นกระทุ่ม: </b><br />ผลสีน้ำตาลเล็กๆ รวมเป็นกลุ่มกลม ผิวขรุขระ สีน้ำตาล ผิวแข็ง<br /><br /><b>ด้านภูมิทัศน์: </b><br />ใช้จัดสวนได้ดี เป็นไม้ที่ทนต่อน้ำท่วมขัง ที่ระบางออกยาก และ ยังช่วยควบคุมการพังทลายตาม ริมน้ำ รากไม่ไม่เยอมากเหมาะแก่ การให้ร่มเงา ดอกก็หอมอ่อนๆ และ สวยงาม<br />ประโยชน์: เปลือกรากให้สีย้อมสีเหลือง ผลรับประทานได้ ใบรักษาไข้ ไม้ใช้ทำเครื่องเรือน กลอง โทรรำมะนาAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-25398750126228350602012-06-29T07:54:00.004-07:002012-06-29T07:54:46.918-07:00ต้นกระท้อน<b>ลักษณะทั่วไปของต้นกระท้อน</b><br />กระท้อนเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 15 - 30 เมตร เปลือกต้นสีเทา ใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีแกมไข่จนถึงขอบขนาน ขนาดประมาณ กว้าง 6 - 15 ซม. ยาว 8 - 20 ซม. เมื่อใบแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงดอกออกเป็นช่อ ที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกสีเหลืองนวล<br /><br /><b>ผลต้นกระท้อนของต้นกระท้อน</b><br />ผลอ่อนสีเขียวมีน้ำยางสีขาว เมื่อผลแก่เปลือกผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและมีน้ำยางน้อยลง รูปกลมแป้น ผิวมีขนแบบกำมะหยี่อ่อนนุ่ม ขนาดประมาณ 5 - 15 <br /><br />เซนติเมตร ภายในผลจะมีเมล็ด 3-5 เมล็ด และมีปุยสีขาวหุ้มอยู่ ซึ่งลักษณะ ของปุยและรสชาติจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละพันธุ์ เมล็ดรูปรี มีปลอกเหนียวห่อหุ้ม<br /><b><br />ถิ่นกำเนิดต้นกระท้อนและการกระจายพันธุ์ของต้นกระท้อน</b><br />เชื่อกันว่ากระท้อนมีถิ่นกำเนิดในอินโดจีนและมาเลเซียตะวันตก ก่อนจะถูกนำไปปลูกที่ประเทศอินเดีย, เกาะบอร์เนียว, ประเทศอินโดนีเซีย, หมู่เกาะโมลุกกะ, ประเทศมอริเชียส, และประเทศฟิลิปปินส์และกลายเป็นพืชท้องถิ่นไป กระท้อนถูกปลูกเป็นพืชเชิงพานิชย์ตลอดพื้นที่ในเขตนี้<br /><br /><b>ประโยชน์ต้นกระท้อน</b><br />ใบสด ใช้ขับเหงื่อ ต้มอาบแก้ไข้<br />เปลือกต้น เปลือกต้นต้มน้ำดื่มแก้ท้องเสีย รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน<br />ราก เป็นยาขับลม แก้ท้องเสีย บิด เป็นยาธาตุAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-89234186165717547432012-06-29T07:53:00.005-07:002012-06-29T07:53:44.902-07:00ต้นกระโดน<b>ชื่อพื้นเมืองของต้นกระโดน</b><br />
กะนอน ขุย แซงจิแห๊อะบะ ปุย ปุยกระโดน หูกวาง ปุยขาว<br /><br /><b>ลักษณะทั่วไปของต้นกระโดน</b><br />ต้นกระโดนเป็น ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 6-10 เมตรผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแน่นทึบดดยมากลำต้นมักเตี้ย กิ่งก้านสาขามาก เปลือกหนา สีเทา<br />ดอกกระโดน สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเดี่ยวๆ หรือเป็นกระจุกๆละ 2-3 ดอก สีแดงปลายขาว ดอก ออก ธ.ค-ก.พ<br />ผล ผลสดแบบมีเนือหลายเม้ด ทรงกลม อวบนำขนาด 5-7 ซม. ผลออก มี.ค-พ.ค<br /><br /><b>ด้านภูมิทัศน์ต้นกระโดน</b><br />ทรงพุ่มกลมทึบ ใบใหญ่ ปลูกในสวนจะมองเห็นแต่ไกลว่าทรงพุ่มเด่น<br /><br /><b>ประโยชน์ต้นกระโดน</b><br /> เปลือกทำเชือก ใบรักษาแผล ดอกเป็นยำบำรุง ใบอ่อนรับประทานได้Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-91458033178869256462012-06-29T07:52:00.006-07:002012-06-29T07:52:50.952-07:00ต้นกระดังงา“กระดังงาไทย” ไม้ต้นดอกหอม สูง 5-12 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก ปลายกิ่งลู่ลง กิ่งเปราะ เปลือกลำต้นค่อนข้างฉ่ำน้ำและมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ใบเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปรี ยาว 10-12 เซนติเมตร<br /><br />ดอกกระดังงาไทย ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งเหนือรอยแผลใบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อดอกบาน ดอกสีเหลือง กลีบดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น แต่ละกลีบมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกัน ออกดอกตลอดปี ดอกบาน 2-3 วันแล้วร่วง ส่งกลิ่นหอมตลอดวัน และส่งกลิ่นหอมแรงขึ้นในช่วงพลบค่ำ ผลกระดังงาไทย มีผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 5-12 ผล เมื่อแก่สีเหลืองอมเขียว ขยายพันธุ์กระดังงาไทย ด้วยการเพาะเมล็ดกระดังงา<br /><br />การปลูกกระดังงาไทย ควรปลูกต้นที่มีความสูงประมาณ 1 เมตร ลงแปลงกลางแจ้งเป็นต้นเดี่ยว ห่างกัน 5-6 เมตร ปักหลักและผูกยึดป้องกันลมพัดโยก แต่ละต้นจะมีทรงพุ่มสวยงามและออกดอกดก<br />การตัดแต่งกิ่งกระดังงาไทย ควรหมั่นตัดแต่งกิ่งยอดที่มีมากเกินไป จะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่งและกิ่งไม่ฉีกหัก การปลูกชิดกันเกินไปจะทำให้ต้นกระดังงาไทยสูงชะลูด ทรงพุ่มเบียดกัน และออกดอกได้น้อย<br /><br /><br /><b>ความเชื่อของต้นกระดังงา</b><br />นิยมปลูกกันด้วยชื่อที่เป็นมงคล คนโบราณเชื่อกันว่าการปลูกต้นกระดังงา ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทองลาภยศ ควรปลูกต้นกระดังงา ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล แก่ตัวบ้านและครอบครัวที่อาศัยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2456050256676888454.post-4448563889045264352012-06-29T07:51:00.001-07:002012-06-29T07:51:33.544-07:00ต้นกระซิก<b>ชื่ออื่น</b><br />
<br />ครี้ สรี้ (สุราษฏร์ธานี) ซิก (ภาคใต้)<br /><b><br />ลักษณะทั่วไปต้นกระซิก</b><br />ต้นกระซิก เป็นไม้ยืนต้น บางครั้งรอเลื้อย ลำต้นมีหนาม เปลือกสีเทา เรือนยอดมีลักษณะไม่แน่นอน ใบต้นกระซิกเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยเรียงสลับกันบนก้านใบ ดอกขนาดเล็ก กลิ่นหอม ออกเป็นช่อตามปลายกิ่งหรือง่ามใบใกล้ยอด ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ผลเป็นฝักแบน ขอบฝักบางคล้ายมีด เมล็ดรูปไตเรียงติดตามยาวของฝัก ฝักแก่จะไม่แตกแยกจากกัน<br /><br /><b>ขยายพันธุ์ต้นกระซิก</b><br />เพาะเมล็ด<br />
<br /><b>สภาพที่เหมาะสมต้นกระซิก</b><br />ดินทุกชนิด เป็นไม้กลางแจ้ง น้ำและความชื้นปานกลาง<br />
<br /><b>ถิ่นกำเนิดต้นกระซิก</b><br />ป่าโปร่งในที่ลุ่ม และตามชายห้วยภาคใต้Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/01231861759294582102noreply@blogger.com0